วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

โอ้ย!..ตื่นเต้น โอ้ย!..ตกใจ

บทที่ 3

โอ้ยตาย … งั้น..มันต้องเป็น ... 'เจอโรเม่'ส์ ลีมูแซ็ง'

โอ้มายลอร์ด!! นี้ข้าเผลอท่องคาถาผิดรัวลิ้นออกเสียงเป็น

'เฌโรม'ส์ ลีมูซีน' หรอกหรือ!?

เขาพูดถึงบรรพบุรุษด้วยหรือ? .. หลายร้อยปี! .. อุ้ย!! ไม่นะ .. ถึงว่าสิ!! 

นี่ข้าข้ามเวลามาไกลขนาดนี้ได้อย่างไรหนอ?

ด่ะ .. เดี๋ยวนะ .. ตั้งสติซิที่รัก 

เจ้าต้องพาตัวเองออกไปจากที่นี้ให้ได้ก่อนนะ

ใช่ๆ … แต่ด้วยคาถาไหนล่ะ?

โอ้ย!..ตื่นเต้น โอ้ย!..ตกใจ นึกอะไรไม่ออกเลย

เสียงสามหนุ่มนี่คุยเรื่องอะไรกันน่ะ?

อ้อ.. เขากำลังปรึกษากันว่าหล่อนหลงทาง .. 

ใช่...ใช่แล้วเจ้าหลงทาง แถมหลงเวลามาอีกด้วยล่ะจ่ะโอเรออนเน่!!

เอาไงดี? .. หนีดีกว่า

เดี๋ยวนะ ก่อนที่เจ้าจะไปก็ควรต้องร่ายคาถาให้คนพวกนี้ลืมเรื่องของเจ้าซะก่อนสิ เรื่องนี้ป้าออโรร่าสอนไว้ว่าถ้าหลงมาเมืองมนุษย์ สิ่งแรกที่ต้องทำคืออย่าให้ใครรู้เป็นอันขาดเชียวว่าเราน่ะเป็นเผ่าแม่มด ไม่งั้นอาจจะโดนจับไปเผาทั้งเป็น ป้าบอกว่าพวกมนุษย์น่ะไม่ชอบแม่มด โอเรออนเน่ก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ แต่เชื่อป้าไว้ก็น่าจะดี

แต่ด้วยคาถาไหนดี? ... คาถาไหนล่ะ? 

อ่อ!! ..นึกได้ละ! ..คาถานี้.. ป้าออโรน่าเพิ่งจะสอนมาก่อนที่จะแวะไปเยี่ยมป้าแพนโดร่าที่กรีซเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไง

เริ่มจาก .... อะไรนะ .... อ่อ ...

โอม .. ละหลง..งง..งวย

แม่มดสาวสวยดักแมวด้วยปลา

ย.ยักษ์คึกคัก .. อุ้มหมาปั๊กไปซื้อมาม่า

ขอให้พวกเขาจงงงงวย ..

ขอให้ลืมหมดด้วยว่าข้าเป็นใครมาก่อนหน้า

โอมมมม มะเรื่อง..มะรืน .. ขอให้จงลืม ..

จังหวะเดียวกับแม่มดน้อยผู้อ่อนด้อยก็ได้เงยหน้าไปมองเห็นตัวเองในกระจกเงา ที่มันแปะประดับอยู่ข้างจอสมาร์ททีวีที่มาของแหล่งความบันเทิงระหว่างทางในซาลูนนั้นแป๊ะๆ 

ด้วยความที่ประหลาดใจไม่เคยเห็นกระจกที่ไหนช่างชัดแจ๋ว..กระจ่างใสเช่นนี้มาก่อน .. 

และแล้วแม่มดจอมไฮเปอร์ก็เผลอไผลไปท่องมนต์บทสุดท้ายพอดีว่า ..

อ๊ะ! ... นั่นมันตัวข้านี่นา? (แอบดีดนิ้ว..เป๊าะ! ก่อนจะ..)

ห๊ะ!! ดะ ... เด๋วนะ!! 

ตะกี้..บทจบข้าท่องคาถาไปว่าอะไรนะ!!?

(วรั๊ย! .. ม้ายยยยยยยทันแระ!!)

ปุ้ง!!! ... 

ควันสีฟ้าน้ำทะเลปรากฏขึ้นโขมง คลุ้ง ตามด้วยเสียงแก้วเสียงกระจกนิรภัยลั่น .. 

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!! เปรี๊ยะ!!! ..

ปัง!! .. ตึง!! ตึง! ตึงๆ!!

อุ๊ฟ! .. วะ .. วั๊ย! .. ตายแล้ว!! 

ออนเน่มองเห็นร่างทุกร่างสั่นสะเทือนโคลงเคลง หมุนพลิกตลบหกคะเมนตีลังกากันอยู่ภายใน .. เอิ่มมม .. เรียกว่ากล่องเหล็กประหลาดที่กรุเต็มไปด้วยเบาะหนังหนานุ่ม แต่ว่าในสถานการณ์แบบนี้ดูเหมือนว่าเจ้าเบาะเหล่านั้นมันจะช่วยได้ไม่มากเท่าไร

แต่ถึงอย่างไรออนเน่ยังรู้สึกว่าตนเองปลอดภัยดี ภายใต้อ้อมกอดแน่นหนาและปกป้อง

ซึ่งมันคงจะยังไม่มากพอ เพราะต่อให้ดาม่อนจะระมัดระวังตามสัญชาตญาณที่ถูกปลูกฝังกันไว้ในสายเลือดขุนนางเก่าแก่ว่าบุรุษต้องดูแลสตรี แต่ออนเน่ก็ยังจะอุตส่าห์ผงกศีรษะขึ้นมาดูหายนะที่ตนก่อ จนมันชะโงกทักทายขอบมินิบาร์ที่ไว้สำหรับแช่ไวน์ขวดโปรดของฟรองซัวส์เข้าให้จนได้

โป๊ก!!

“โอ้ย!!”

และแล้วสติทุกอย่างของแม่มดตัวป่วนก็ดับ .. วูบ

เส้นแนวนอน


"ทำไมนายไม่ลงประกาศตามหาญาติของ.. เขาเรียกตัวเขาเองว่าอะไรนะ .. ฉันลืมแล้ว?"

"ออนเน่ .. โอเรออนเน่" เสียงทุ้มดุ..ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ทั้งยังจะไม่ได้เงยหน้ามาจากข่าวที่อ่านอยู่ในแท็บเล็ทพับได้..แปลงร่างเป็นมือถือได้แบบทันสมัยที่แผ่แล้วจะบางเฉียบราวกระดาษ

"เออใช่ ชื่อเขาคล้ายชื่อของกลุ่มดาวนายพราน"

ฟรองซัวส์สรุปงุ้งงิ้ง

   


ปล. นิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายโรแมนซ์ ของนักเขียนอังกฤษท่านหนึ่งซึ่งนักเขียนจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ใครเป็นคนแต่ง เพราะเช่ามาอ่านเมื่อนานมากแล้วละค่ะ .. เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่มดโก๊ะๆ แบบนี้นี่ละ :) 


**********

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

จะให้ตอบว่าไง

ไม่น่าจะเป็นน้ำหอมน้ำปรุงที่เขาคุ้นเคยจากสาวๆ ในสังคมชั้นสูงมาทุกยี่ห้อนี้ที่พวกหล่อนใช้กันเลยนะ

แต่ว่ามันก็ไม่น่าใช่น้ำหอมราคาถูกที่มักจะมีกลิ่นฉุน .. แสบจมูกเหล่านั้น

กลิ่นนี้มันหอมละมุนอ่อนๆ .. 

ที่แย่คือ .. มันดันมีเสน่ห์ต่อเขาดีชะมัด!!

แต่ .. 

"ไม่ค่ะ มายลอร์ด .. คือ .."

"ที่นี่อันตรายเกินกว่าที่พวกเราจะปล่อยคุณทิ้งไว้คนเดียว" น้ำเสียงเหมือนเอือมระอาติดจะเย็นชานิดๆ

"ผมมองไม่เห็นว่าคุณนั่งรถมาจากทางไหน และกำลังจะไปไหน ไม่ต้องกังวล ที่นี่ห่างจากตัวเมืองมาไม่ไกล คุณคงจะมีเวลาอดทนกับพวกเราได้ไม่นาน" 

"นายอย่าใช้น้ำเสียงเย็นชานักซี ดาม่อน"

ฟรองซัวส์เจ๋อ ชะโงกหน้าไปดูข้อเท้าของแม่สาวแปลกหน้าเกรงว่าจะบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าแต่ก็งง 

สงสัยว่าทำไมมันจึงดูใหม่เจี๊ยบ .. แถมทั้งยังไม่มีร่องรอยฝุ่น หรือรอยขูดขีดถลอกใดสักรอย ให้เห็นบนรองเท้าแม้สักน้อยนั่นเลย

ยี่ห้อก็ไม่มีแหะ แต่ฝีมือปรานีต ว้าว! .. เฉียบมากเลย

ช่างฝีมือคนไหนตัดเย็บให้หล่อนใส่กันหว่า?

"ผมฟรองซัวส์ นั่นอลัน ส่วนตาใบ้ที่ขับรถให้เราอยู่นั่นชื่อไมเคิล เป็นอเมริกัน และเจ้าของรถคือดาม่อน คุณรู้จักเขาแล้ว .. แล้วคุณชื่ออะไร?"

นายจอมจุ้นแนะนำตัวเองง่ายๆ ไร้พิธีรีตรอง

"โอเร .. โอเรออนเน่ มาเฟียสค่ะ จะเรียกข้าสั้นๆ ว่าออนเน่ก็ได้ .. ยินดีที่ได้รู้จักเหล่าสุภาพบุรุษทุกท่าน" ออนเน่พยักหน้าทักทายให้แก่ฟรองซัวส์เล็กน้อย โดยที่ไม่ยินยอมจะมองไปที่เจ้าของกล่องเหล็ก ที่มนุษย์ชายในที่นี้เรียกว่ารถสักเท่าไร

"เราไม่เห็นรถคุณ คุณเกิดอุบัติเหตุก่อนที่จะมาเจอพวกเราหรือ? .. เอ๊ะ หรือว่าถูกโจรปล้น!!" 

คนช่างสงสัยก็สันนิษฐานไม่เลิกรา เพราะหากดูจากรูปร่างหน้าตาผิวพรรณของสาวน้อยปริศนาผู้นี้ บวกกับชุดเสื้อผ้าที่สวมใส่แม้ไม่มียี่ห้อแต่เจ้าพ่อแฟชั่นอย่างเขาก็แน่ใจว่ามันมีแต่ของดีๆ

โอเรออนเน่ตาโต ..นึกหวาดกลัวต่อความช่างซักช่างถามช่างสงสัยของมนุษย์ผู้ชายผิวขาวหน้าซีดคนนี้มากซะจริง

จะให้ตอบว่าไง

ก็ไม่ได้พกอะไรติดตัวมานอกจากคฑาและ!!

โอ้ย! แย่แล้ว!! นี่ข้าทำคฑาเวทมนตร์หล่นหายที่ไหน มันไม่ได้อยู่ในมือข้ามานานเท่าไรแล้วนี่? อุ้ย!! หรือว่าน่าจะลืมเอามันมาด้วยหรือเปล่า?

โธ่..ใช่แล้ว .. เดี๋ยวนะ ขอทบทวนความทรงจำนิดสิ

สวมหมวก ใส่รองเท้า เอาตำราเก็บเข้าไว้ที่ชั้น เดินกลับไปเปิดกระเป๋า เช็คการ์คเชิญงานปาร์ตี้ที่จะต้องไปกับยัยมิคาเอลเพื่อนซี้ .. ยิ้มนิดๆ .. ปิดกระเป๋า .. ท่องคาถา 

โอ้ย!! บ้าบอ .. คอระฆัง!!

นี่ข้าลืมคฑาทิ้งไว้บนโต๊ะจริงๆ นั่นแหละ!!

งั้นก็เป็นอันว่าต่อไปจะท่องคาถาใหญ่ๆ ที่จะไว้ใช้ป้องกันตัวอะไรไม่ได้แล้วสิตอนนี้ 

ดีนะ!! .. ที่ยังพอมีคาถาหายตัวได้ติดตัวไว้

แต่แน่ใจนะว่าจะไม่พาตัวเองไปผิดที่อีกอ่ะ?

เพราะตะกี้ก็พยายามจะท่องพาตัวเองหนีหาย แต่ไหงกลับได้เป็นสายฟ้าผ่า .. ฟาดลงมาเปรี้ยงๆ!?

"ข้าเองก็ไม่เห็นรถม้าของพวกท่าน!!"

"รถม้า?" ฟรองซัวส์ตาปริบๆ ในขณะที่ดาม่อนเงยหน้ามาขมวดคิ้ว .. สมองรีบประมวลผล

"เห็นไหมดาม่อน สาวน้อยคนนี้รู้วิธีเรียกอารมณ์ขันได้ดีกว่านายซะอีก .. ใช่ไหม? ใช่ป่ะอลัน" 

คนชมเองก็ยังจะ .. งง

"ทำไมต้องใช้รถม้า ในเมื่อเรานั่งอยู่ในลีมูซีน?"

อลันที่ตามเข้ามางงด้วยช่วยตั้งคำถาม

"พวกท่านหมายถึง .. แคว้นลีมูแซ็งหรือ? ใช่ค่ะ ข้าก็กำลังจะไปที่นั่น" มีความยินดี..ดีใจอยู่ในน้ำเสียงอย่างปิดไม่มิด ... หากแต่ ...

"คุณยังเรียกที่นั่นว่าแคว้นหรือ? ฟังดูโบราณดีแหะ! แต่ว่า..ที่นี่น่ะมันอยู่ห่างไกลจากแคว้นลีมูแซ็งของคุณตั้งหลายไมล์เลยที่รัก ที่นี่ประเทศอังกฤษ..ไม่ใช่ฝรั่งเศส"

ฟรองซัวส์ .. ช่างโหดร้ายจัง!! (อลันคิดในใจ)

"พระช่วย!!" ดวงตาสีเขียวมรกรตเบิกกว้าง

"ก็เมื่อกี้..พวกท่านพูดถึงลีมูแซ็ง .. เมืองนั่นเป็นที่ตั้งของปราสาทของท่านไม่ใช่หรือ?" มองตรงไปยังร่างของเจ้าของดวงตาสีม่วงเข้ม

"ใช่ แต่พวกเรา .. ผมหมายถึงบรรพบุรุษรุ่นหลังๆ ของสกุลเราบางส่วนได้อพยพย้ายตัวเองมาอาศัยอยู่ที่ ประเทศนี้ตั้งนานหลายร้อยปีแล้วล่ะที่รัก แล้วปราสาทนั่น ผมจะกลับไปดูแลมันทุกปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า"

งงตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องอธิบายอะไรให้แก่เจ้าของดวงตาตัดเพ้อต่อว่า ของสาวน้อยแปลกหน้าคนนี้ด้วยล่ะนี่?

"ลีมูซีนที่ผมพูดถึงคือรถคันนี้" อลันพูดขึ้นบ้าง "ลีมูซีนที่ต้นกำเนิดมาจากรถม้ามีหลังคาเปิด ต่อมาก็มีหลังคาปิดเปิดได้เพราะได้แนวคิดมาจากเสื้อคลุมมีฮู๊คของชาวแคว้นลีมูแซ็งโบราณอีกทีโน่นไง" ขยายความให้อาคันตุกะสาว

"เขาเป็นเจ้าของ" 

ฟรองซัวส์ปุ้ยใบ้ไปทางดาม่อน .. จากกิริยาอาการเพื่อนทุกคนในรถต่างก็รู้ดีว่าบัดนี้เจ้าหมอนี้กำลังรู้สึกสนอกสนใจในตัวสาวปริศนา .. และท่าทางเขาจะชอบเด็กสาวผู้นี้จนออกนอกหน้าเกินไปซะแล้ว

"ที่ที่พวกเราจะไปกันนี่ก็เป็นปราสาทของเขาอีกที่หนึ่งนะ แต่เป็นปราสาททางเหนือที่จะติดกับสก๊อต"

โอเรออนเน่ไม่ได้สนใจฟังเพราะมัวแต่ว้าวุ่นวาย

ปล. นิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายโรแมนซ์ ของนักเขียนอังกฤษท่านหนึ่งซึ่งนักเขียนจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ใครเป็นคนแต่ง เพราะเช่ามาอ่านเมื่อนานมากแล้วละค่ะ .. เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่มดโก๊ะๆ แบบนี้นี่ละ :) 


**********

.. กลิ่นสมุนไพรหอม..อบอวลประหลาด ..

พอหายใจได้คล่องดี เขาก็พลิกตัวอย่างคนต้องรักษามาดผู้ดีที่ต้อง..สง่า สุขุม นิ่งกริบทุกระเบียบนิ้วไว้ให้ถึงที่สุด ลุกขึ้นมาปัดแขนปัดขา (ที่หล่อนเองก็ยังสงสัยว่า .. นี่ถ้าเขามีผ้าพันคอลงแป้งแข็งปั๋งอย่างแฟชั่นชายในพระราชสำนัก ชายผู้นี้คงไม่ลืมที่จะขยับมันให้เข้าที่เข้าทางเป็นอย่างแรก .. พอคิดถึงตรงนี้แววตาสีเขียวมรกตก็พริบไหวดูงุนงงนิดๆ .. ว่าทำไมชายผู้นี้ถึงแต่งกายประหลาดจัง?) .. หากทว่าพอได้สบตาสีม่วงเข้มที่ยังคงจับตามองผู้หญิงร่างเล็กผิวขาว .. ราวกับว่ามันไม่กล้าจะมีตำหนิใดๆ โผล่มาปรากฏบนร่างแน่งน้อยนี้เลย ทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะยิ่งต่างคนต่างประหลาดใจ

"คุณรู้จักคนในตระกูลผมทุกคนหรือ?"

มีความไม่เชื่อถือ แต่ชายหนุ่มก็ฉลาดพอที่จะไม่ให้มันปรากฏผ่านน้ำเสียงเรียบเรื่อย .. เฉยเมยนั่น

โอเรออนเน่พยักหน้า แต่แววตาท่าทางเหมือนจะแตกตื่นตกใจที่ดูราวกับกำลังพยายามที่จะซ่อนมันเอาไว้ให้มิดชิดเช่นกัน

หันไปจับตามองความเคลื่อนไหวรอบๆ ตัว

อลันกับไมเคิลเก็บปืนพกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนฟรองซัวส์ลุกขึ้นมาปัดชุดลำลองราคาแพงแต่ยังคงเดินกระเผลกๆ เพราะอาการระบบที่ล้มไปก้นจ้ำเบ้า .. เจ็บราวกับถูกม้าถีบเลย

"ท่านดยุคโลเร็งและบุตรชายของเขา ท่านเอิร์ลเกรกอรี่ .. ล่าสุดท่านมาร์ควิสเจโรมี่ที่ครองปราสาทอยู่ที่แคว้นลีมูแซ็ง .. ท่านเป็นทายาทจากบุตรคนไหน?"

ประโยคหลังเงยหน้าขึ้นถามดาม่อนที่ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว และกำลังส่งมือมาเพื่อที่จะช่วยพยุงออนเน่ให้ลุกขึ้นบ้าง

"ชื่อที่คุณกล่าวมานั่นมันคือชื่อปู่ของปู่ของปู่ทวด ของประธานบริษัท เจ้าของสายการบินที่คุณกำลังคุยด้วยอยู่ตรงนี้นะครับคุณผู้หญิง" ฟรองซัวส์ที่ปากเปราะที่สุดในกลุ่มนั่นแหละกล่าว

"แล้ว..ไอ้รายชื่อเหล่านั้นหาได้ง่ายดายจะตายไปในวิกิพีเดียน่ะ"

"อะไรคือวิกิพีเดีย? อะไรคือปู่ของปู่ของปู่ทวด!!"

ดวงตากลมโตกระจ่างใสฉายแววตกใจและว้าวุ่นอย่างปิดไม่มิดแล้วทีนี้

โอเรออนเน่อดไม่ได้ที่ยกมือขึ้นมากุมหน้าอก เหลียวมองรอบๆตัวเพื่อที่จะมาสำนึกรู้ว่าบรรยากาศ และกลิ่นไอที่นี่มันช่างไม่คุ้นเคย

บ้าจริง!! นี่ข้าท่องคาถาอะไรผิดไปอีกแล้วหรือนี่!

"คุณบาดเจ็บที่ตรงไหนหรือเปล่า?" 

เจ้าของดวงตาสีม่วงถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางหวาดผวาว้าวุ่นของออนเน่แล้วเขาเข้าใจไปผิด

ศีรษะสวยใต้กลุ่มผมยาวตรง .. กับหมวกรูปทรงประหลาดส่ายไหวดิกๆ

ดวงตาสีเขียวคู่กลมโตจ้องเขาอย่างแทบจะไม่กะพริบ ปากขมุบขมิบน้อยๆ ที่แทบจะไม่สังเกตเห็น

เปรี้ยง!! ครึน!! เปรี้ยงๆ!

จู่ๆ ก็มีเสียงกัมปนาถราวฟ้าผ่า

(อ่อ ... ใช่ .. ก็ฟ้ามันก็ผ่าลงมาจริงๆ น่ะแหละ)

แต่ว่านี่มันฤดูร้อนนะ .. แล้วบริเวณนี้ก็ไม่ได้มีเค้าหรือทีท่าใดๆ ว่าจะมีพายุฝนหลงฤดูมา

ต้นไม้ในป่าบริเวณใกล้ๆ นั่นมีหลายๆ ต้นที่กิ่งหักร่องแร่ง บางต้นมีควันขึ้นกรุ่น และช่างโชคดีอย่างน่าอัศจรรย์ที่มันไม่ยักมีประกายไฟเกิดขึ้นตรงไหนเลยสักต้น?!?

"อากาศดูแปลกประหลาดมาก ดาม่อน ผมว่าเราน่าจะรีบออกไปจากที่ตรงนี้กันดีกว่า" อลันเสนอ

ฟรองซัวส์หันซ้ายหันขวาเลิ่กลั่ก ในขณะที่ไมเคิลกวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวังภัย

คนที่ดูจะใจเย็นที่สุด นิ่งที่สุดก็น่าจะเป็นเขานี่ละ

"นายนัดเหยี่ยวที่จะมารับเราไว้ที่ไหน?"

เหยี่ยวที่เขาว่านี่ก็คือ ชื่อเล่นของเฮลิคอปเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เขาเพิ่งสอยมาได้ไม่นาน

"เราคงต้องย้อนกลับเข้าในเมืองกันครับ ที่นี่ไม่มีที่จอด ผมนัดให้ไปรับบนดาดฟ้าที่โรงแรมในเครือของเรา"

ประธานบริษัทหนุ่มกวาดตามองรอบๆ ตัวชั่วแว่บ คิ้วมุ่นนิดๆ อย่างสงสัยแต่ก็ยอมตัดสินใจเฉียบพลัน

"งั้น .. คงช่วยไม่ได้ละสิ" 

คนตัวสูงสง่าทำเสียงงึมงำก่อนก้มตัวลงมา

"ขอโทษนะครับคุณผู้หญิง"

ร่างเล็กปลิวหวือขึ้นสู่อ้อมกอด ออนเน่ตกใจผวาเกาะยึดสาบเสื้อเชิ้ตของเขาเอาไว้แน่น ..กลัวตก..งง

ไมค์ผู้ที่เคร่งขรึมพูดน้อย .. แต่ต่อยหนักที่สุดเป็นคนเดินอ้อมมาเปิดประตูรถให้ อลันเดินไปก้มเก็บมือถือที่ปาไปฝากกับอ้อมกอดของก้อนหินก้อนใหญ่ได้อย่างแม่นยำ

เลขาฯหนุ่มส่ายหัว เสียดายมือถือรุ่นใหม่ที่เพิ่งจะถอยมามาดๆ ใจจะขาดแล้ว 

วางร่างเล็กๆ ยัดเข้าสู่ห้องผู้โดยสารที่กว้างขวางโอ่อ่า แต่ออนเน่ยิ่งจะผวาแตกตื่น .. ยึดคอเสื้อเขาเอาไว้มั่น

"ไม่เป็นไรครับ เราไม่ได้คิดจะทำร้ายหรือคิดไม่ดีอะไรกับคุณ" ดาม่อนค่อยๆ ปลดมือหญิงสาวตาแป๋วออกพร้อมกับพยายามผลักก้นให้ออนเน่ .. เขยิบตัวชิดเข้าไปข้างใน 

.. กลิ่นสมุนไพรหอม..อบอวลประหลาด ..

ไม่น่าจะเป็นน้ำหอมน้ำปรุงที่เขาคุ้นเคยจากสาวๆ ในสังคมชั้นสูงมาทุกยี่ห้อนี้ที่พวกหล่อนใช้กันเลยนะ

แต่ว่ามันก็ไม่น่าใช่น้ำหอมราคาถูกที่มักจะมีกลิ่นฉุน .. แสบจมูกเหล่านั้น

กลิ่นนี้มันหอมละมุนอ่อนๆ .. 

ปล. นิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายโรแมนซ์ ของนักเขียนอังกฤษท่านหนึ่งซึ่งนักเขียนจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ใครเป็นคนแต่ง เพราะเช่ามาอ่านเมื่อนานมากแล้วละค่ะ .. เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่มดโก๊ะๆ แบบนี้นี่ละ :) 


**********

แต่นั่นมันก็ .. เอิ่มมมม!!

อย่างรวดเร็วท่ามกลางความตกตะลึงนะจังงัง

อลันโยนโทรศัพท์ในมือทิ้งอย่างอัตโนมัติ เพื่อที่จะควานหาปืนพก ในขณะที่ไมเคิลผู้กำลังจะเหนี่ยวไก แต่ทำได้แค่ยืนมองเจ้านายตาปริ๊บๆ

ร่างสูงของดาม่อนที่หงาย..เคล้ง! ลงไปแอ้งแม้งอยู่บนพุ่มแดนดิไลออนริมทางจนช่อดอกแก่ฟุ้งกระจายปลิวหนีกันว่อน โดยไม่ต้องมีใครมาเป่าเพื่อเฝ้าขอคำอธิษฐาน แต่ทว่า ร่างนุ่มนิ่มที่เขากำลังกอดรัดอยู่มันก็ไม่น่าจะมาจากการอธิษฐานขอ ของผู้ชายผู้ไม่ร่าเริง ที่ไม่เคยเชื่อคำอธิษฐานใด และเป็นผู้ที่ชื่นชอบจะทำอะไรด้วยตัวเองอย่างเขาเช่นกัน .. 

แต่นั่นมันก็ .. เอิ่มมมม!!

ผู้หญิงนี่หว่า!!!

หล่อนโดนใครโมโหจนถูกจับขว้างปามาจากไหนกันล่ะวะนี่!!

"ฉิบหายแล้ว!!"

สหายผู้ที่ขี้ขลาดที่สุดในกลุ่มเป็นผู้ร้องตะโกน

"ดาม่อน! นั่น!! นายโดนยัยแม่มดกระโจนมาแทงหรือเปล่าวะ!! .. อย่าเพิ่งตายนะโว้ยเพื่อน ทำใจดีๆ"

"อลัน!! ไมเคิล!! นั่นพวกนายยืนบื้อทำอะไร ทำไมถึงยังไม่โทรฯเรียกรถพยาบาล!!" 

ปากหันไปด่าแต่ขาพาตัวพุ่งกระโจนจะเข้าไปดึงแขนสาวน้อยปริศนา .. แต่ทว่า

พอชายร่างซีดจะวิ่งเข้าไปดึงร่างเล็กๆ ที่สวมใส่กระโปรงรุ่มร่ามกับหมวกทรงประหลาดแปลกตา ก็รู้สึกราวกับถูกใครถีบซะกระเด็นออกมานอนหงายท้องตึง!! ไปอีกราย

อลันกับไมเคิลก็ยิ่งจะตื่นตะลึง .. งง

ที่ยังไม่มีใครสักคนหนึ่งเหนี่ยวไกก็เพราะความเฉียบไวในการประเมินสถานการณ์ที่ดีกว่าฟรองซัวส์หลายขุม จึงทำให้ทราบกันดีว่าเจ้านายของเขานั่นยังไม่ได้รับอันตรายจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ นอกจากอาจต้องระบมไปสักวันสองวันจากแรงกระแทกของร่างเล็กๆ ที่หล่นใส่ดังตุบ!

หล่นมาจากไหน? .. ท้องฟ้า? 

ไมเคิลเงยหน้ามองหาแหล่งที่มาที่น่าสงสัย

เครื่องบินเครื่องไหนท้องรั่วล่ะ? .. ก็ไม่น่าจะใช่

ถ้างั้น .. แล้วหล่อนไปมากันอย่างไรละนี่?

แล้วใครเป็นผู้ผลักฟรองซัวส์ออกมาหว่า? เพราะเห็นๆ อยู่ว่าหนุ่มสาวทั้งคู่นอนกลิ้งทับ ยังไม่มีใครจะขยับกายทำอะไรเช่นนั้นได้เลย

"นี่นายถีบฉันหรอ ดาม่อน!?"

เสียงนายจอมโวยวายดีดดิ้นฟูมฟาย เพราะเมื่อคำนวนจากเรี่ยวแรงที่จุก..แอ๊ก!! ก็ไม่น่าจะใช่เรี่ยวแรงจากผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบนั้นแน่นอน

"หยุด .. เซ้าซี้ฉันสักทีน่า ฟรองซัวส์"

ดาม่อนร้องคราง ในหัวของเขายังจะมองเห็นดาวระยิบระยับพร่าพรายไปหมดจากแรงกระแทกกับแรงกดจากน้ำหนักของร่างนุ่มๆ อุ่นๆ บนตัว

"โอ้ย!! นี่มันอะไรกัน?" 

ผงกศีรษะขึ้นมาเพื่อที่จะสบสายตาสีเขียวมรกต วาววับ ลึกลับดูน่าค้นหาที่สุดเท่าที่เขาจะเคยพบเจอมา

"สวัสดีค่ะ .. ที่นี่ .. ที่ไหนคะ?"

เสียงงงงุนหวานใสในทำนองแปลกประหลาดดังเข้าสู่โสตประสาท .. ขณะที่เจ้าตัวขยับลุกขึ้นมานั่งทับเขาไว้ทั้งร่าง .. อยู่บนอกหนา กว้าง เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขานี่แหละ!!

โอ้แม่เจ้าประคุณคนนี้ .. นี่เห็นหน้าอกเขาคือพรมวิเศษหรือไงกัน!

"คุณกำลังนั่งอยู่บนหน้าอกของ..มอร์ซิเออร์ ดาม่อน เฌโรม สเตฟาน๊อฟ และถ้าคุณจะกรุณา .. แคร่กๆ!"

สีหน้าเขาเริ่มเขียวๆ เพราะกำลังจะหายใจไม่ออกแล้วนี่สิ

"อุ้ย!!"

สาวน้อยยกมือขาวบอบบางที่สีผิวตัดกันฉับ! กับเสื้อผ้าไหมกรุลูกไม้ที่ชายแขนกับสาบกระดุมลวดลายละเอียดยิบ สีดำสนิททั้งชุดขึ้นมาแตะริมฝีปากสีสดฉ่ำได้น่ารักดีนะ ..ว่าแต่ว่า..

แฟชั่นแบบกอธิคมันกลับมาเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ อีกแล้วหรือ? .. ดาม่อนคิดเองแบบงงๆ

เสียงอุทานตกใจ ก่อนเจ้าของร่างนุ่นนิ่มจะตลบกระโปรงที่เขาสงสัยหนักหนาว่า แม่สาวน้อยปริศนาคนนี้ เพิ่งกลับออกมาจากงานเลี้ยงแฟนตาซีที่ไหนมา ที่หล่อนเองก็กำลังค่อยๆ ปีนลงจากตักเขาเพื่อเลื่อนตัวลงไปนั่งบนพื้นหญ้าข้างตัวชายหนุ่มแปลกหน้า ที่นอนแผ่หราอยู่อย่างเกือบแทบจะขาดอากาศหายใจตายอยู่มะรอมมะร่อ

"ดวงตาท่านสีม่วง มายลอร์ด" 

น้ำเสียงคล้ายกล่าวหา..ทว่าผสมด้วยความงุนงง

แต่ดาม่อนสูบลมหายใจเรียกสติ เพื่อที่จะมางุนงงยิ่งกว่าเสื้อผ้าที่หล่อนใส่ ก็คงจะเป็นไอ้สำนวนประหลาดโบร่ำโบราณนี่ด้วยล่ะสิ!!

"ข้ารู้จักคนในตระกูลสเตฟาน๊อฟแทบทุกคน แต่ข้าแน่ใจว่าในตระกูลนั้นไม่มีใครที่มีใบหน้าละม้ายท่านเลยสักคนหนึ่ง"

"หรือ?"


(เพิ่มเติมข้อมูลน่ารักๆ เกี่ยวกับ ดอกแดนดิไลออน .. ที่มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าดอกแดนดิไลออนเป็นดอกไม้แห่งความสุข ความร่าเริงและความหวัง และเชื่อว่าการอธิษฐานและเป่าเพียงครั้งเดียว เพื่อให้เมล็ดของแดนดิไลออนทั้งหมดหลุดออกจากฐานรองดอก จะทำให้เราสมหวังในคำอธิษฐาน)


ปล. นิยายเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายโรแมนซ์ ของนักเขียนอังกฤษท่านหนึ่งซึ่งนักเขียนจำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ใครเป็นคนแต่ง เพราะเช่ามาอ่านเมื่อนานมากแล้วละค่ะ .. เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่มดโก๊ะๆ แบบนี้นี่ละ :) 


**********